ประวัติการสร้างวัดพุทธประทับ
เรื่องราวการสร้างวัดพุทธประทับนี้ ได้เริ่มต้นเรียบเรียงจากการสัมภาษณ์พี่เจริญภพ ข้าราชการสำคัญคนหนึ่ง ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการดำเนินการตั้งแต่ต้น (อ่านรายละเอียดของพี่เจริญภพได้ที่”ตำนานวัดพุทธประทับ” ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่พี่เจริญภพเขียนขึ้น เพื่อเล่าความเป็นมาตั้งแต่ต้น) บางส่วนของเนื้อหาบางท่านอาจคิดว่าเหลือเชื่อ ก็ขอได้โปรดอย่าคิดต่อในแง่ร้ายหรือลบหลู่ เพราะที่ดินในการสร้างวัดนี้ถือเป็นที่ดินศักดิ์สิทธ์ ผู้ที่ร่วมทำบุญก่อตั้งล้วนมีจิตศรัทธาแรงกล้า ต่างใช้ความรู้ความสามารถ ความตั้งใจอย่างบริสุทธิ์ร่วมดำเนินงานต่างๆให้สำเร็จด้วยดี ทั้งวิศวกร, นักคอมพิวเตอร์, ข้าราชการชั้นสูงและข้าราชการประจำจากที่ต่างๆ พนักงานบริษัทเอกชน หรือผู้บริจาคเงินแม้เพียงน้อยนิด หากศึกษาพุทธศาสนามาบ้าง ก็จะทราบว่าภพภูมิต่างๆไม่ใช่ของแปลกมีการกล่าวถึงบ่อยๆในพระคัมภีร์และหนังสือธรรมะ ทั้งนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้งมงาย จินตนาการเอาเอง จนคิดหรือเดินทางมาสถานที่นี้อย่างผิดๆ ถ้าท่านใดต้องการพิสูจน์ว่าเวรกรรม และสิ่งลี้ลับมีจริงหรือไม่ ท่านก็สามารถปฏิบัติตามแนวทาง ทาน ศีล และภาวนา ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกเทอญ
ถึงเวลาวาระบุญส่งผล
เริ่มต้นที่พี่เจริญภพต้องการพิสูจน์อดีตชาติตนเองกับเจ้าแม่สุดาชา ซึ่งท่านเป็นหญิงชาวบ้านในเขลางค์นครหรือลำปางในยุคโบราณมากที่เข้ามาในนิมิตช่วงหนึ่ง เมื่อหมอเชิดผู้เป็นพี่เขยได้ชักชวนให้เป็นลำปางกับทีมแพทย์แผนโบราณ ซึ่งคณะนี้ไปเพื่อศึกษาสมุนไพร ที่จังหวัดเชียงใหม่และลำปางพอดี จึงตอบตกลงทันที ประกอบกับหมอเชิดได้เล่าเรื่องเจ้าพ่อข้อมือเหล็กที่เคารพนับถือกันมากของชาวลำปางโดยเฉพาะที่อำเภอแม่ทะ ซึ่งท่านจะช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการประทับร่างทรงชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 55-65 ปี ที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านป่าตัน ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง พี่เจริญภพเกิดความสนใจและต้องการพิสูจน์ว่าเจ้าพ่อข้อมือเหล็กท่านพูดถูกทุกเรื่องเหมือนตาเห็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วเรื่องราวเจ้าแม่สุดาชาเกี่ยวพันกับพี่เจริญภพได้อย่างไร คณะเดินทางจึงประกอบด้วย 4 คน คือ พี่จักร พี่เชิด หมอโต และพี่เจริญภพ
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553 พี่เชิดวางแผนเดินทางไปบ้านพี่เชิดที่ลำปางซึ่งอยู่ห่างจากเมืองอุตรดิตถ์ประมาณ 100 กิโลเมตรก่อน จึงค่อยไปไหว้เจ้าพ่อข้อมือเหล็กที่บ้านป่าตัน ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ โดยแวะรับประทานอาหารเที่ยงระหว่างทาง เมื่อไปถึงบ้านของร่างทรงเจ้าพ่อ ปรากฏว่าเจ้าพ่อท่านพึ่งจะออกจากการทรง และพรุ่งนี้วันพุธท่านก็จะงดเข้าทรงอีก ดังนั้นการเดินทางมาลำปางครั้งนี้พี่เจริญภพจึงไม่มีโอกาสสอบถามปัญหาจากเจ้าพ่อ หลังจากนั้นคณะก็เดินทางไปตัวเมืองลำปางเพื่อพบกับท่านอาจารย์บุญยงค์ซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณที่มีชื่อเสียง และเมตตาช่วยสอนกวดวิชาพิเศษแก่ลูกศิษย์แพทย์แผนโบราณเป็นวิทยาทาน เพื่อขอให้ท่านช่วยพาคณะของเราไปไหว้เจ้าแม่สุชาดา วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม เพื่อจะได้ทราบประวัติความเป็นมาของท่านได้ชัดเจนขึ้น แต่พี่เจริญภพก็ไม่ได้รับสัญญาณใดๆจากเจ้าแม่สุดาชาซึ่งหมายถึงเจ้าแม่ไม่ประสงค์จะบอกอะไรอีก นับเป็นเรื่องที่สองที่ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของพี่เจริญภพในการมาครั้งนี้ หลังจากไหว้เจ้าแม่สุชาดาเสร็จพี่เจริญภพยังคงร่วมเดินทางไปกับคณะแพทย์แผนโบราณต่อไปที่วังเหนือ จังหวัดลำปาง เพื่อพบกับท่านอาจารย์สมโชคท่านเป็นอดีตวิศวกรที่เกษียณราชการก่อนกำหนดไปร่วมสิบปีแล้ว ท่านอาจารย์ได้เคยศึกษาเรื่องยารักษาโรคเอดส์สำเร็จเมื่อประมาณปี 2540 นับเป็นภารกิจหนึ่งของคณะนี้
กล่าวถึงที่ดินศักดิ์สิทธิ์
ถึงบ้านอาจารย์สมโชคที่วังเหนือ ท่านอาจารย์ได้กรุณาพาไปชม”วัดพระเกิด”ที่มีพระเจดีย์โบราณบูรณะโดยพระครูบาศรีวิชัย ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัปป์นี้คือ พระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระพุทธเจ้าโคนาคะมโน พระพุทธเจ้ากัสสปะ พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ ขณะทักษิณาวัตรรอบพระเจดีย์สามรอบเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า เกิดสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก แต่ทุกคนในคณะก็มีความปิติยินดียิ่งเพราะเป็นการบำเพ็ญวิริยะบารมีที่ดีอย่างหนึ่ง เมื่อเสร็จจากการไหว้พระบรมธาตุเจดีย์จึงได้ร่วมทานอาหารค่ำด้วยกัน ระหว่างที่กำลังทานอาหารอยู่นั้น อาจารย์สมโชคได้พูดถึงที่ดินแปลงหนึ่งที่ม่อนป่าซาง(ม่อน=ภูเขา, ป่าซาง=ป่าไผ่) ที่ดินนี้มีขนาด 15 ไร่ มีถนนล้อมรอบสี่ด้าน อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในวังเหนือ เจ้าของที่ดินต้องการขายด่วน ปรากฏว่าจิตพี่เจริญภพได้มองเห็นที่ดินแปลงนั้นทันทีว่าอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ค่อนข้างราบบนยอดเขา และที่ดินนี้ปลูกพืชอะไรไม่ค่อยขึ้น ต่อมาก็เห็นท่านเป็นพญายักษ์ร่างกายสีดำสนิท สวมมงกุฎทองคำ สวมเครื่องประดับเป็นเพชร ทองคำ ทับทิม ข้อมือและข้อแขนทั้ง 2 ข้างสวมเครื่องประดับด้วยทองคำสวยงาม มายกที่ดินแปลงนี้ชูขึ้นเหนือศีรษะท่าน และเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็มองเห็นนางฟ้ามาโปรยดอกไม้รอบที่ดินแปลงนี้ ซึงหมายความว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของสูงมาก ปลูกพืชอะไรก็ไม่ขึ้น คนธรรมดาปลูกบ้านอยู่ก็ไม่ได้ ต้องสร้างเป็นวัดเท่านั้น และในอนาคตจะมีพระภิกษุมาบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ที่วัดนี้ด้วย และก็ได้รู้ต่อไปว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าท่านเคยเสด็จมาประทับแล้วสี่พระองค์ ขณะนั้นฝนกำลังตกหนักในเวลาสองทุ่มครึ่ง ไม่สามารถเดินทางไปดูที่ดินแปลงนี้ในคืนนั้นได้ ทางไปที่ดินต้องขึ้นบนเขาเป็นทางซีเมนต์ขนาดเล็กและมีบางส่วนเป็นทางดิน ถ้าไปดูที่ดินรถจะต้องติดหล่มแน่นอน เพราะฝนตกหนักและมืดมาก จึงได้นัดหมายกันไปดูกันในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2553 พี่เจริญภพตื่นนอนประมาณตีห้าขณะนั่งรอคณะเพื่อไปพบคุณติ่งเจ้าของที่ เพื่อดูที่ดินแปลงนี้เวลา 6 โมงเช้า ก็มีเสียงบอกมาในจิตว่า พญายักษ์ที่ยกที่ดินแปลงนี้ขึ้นสูงมีกายสีเขียวขี้ม้าเข้มไม่ใช่สีดำสนิทอย่างที่เห็นในเวลากลางคืนขณะที่ฝนตกหนัก และบอกว่าท่านชื่อท้าวรณกาจ พนาสูรย์ เป็นพระเสื้อเมืองแห่งแคว้นล้านนา ท่านมีอายุมากกว่าสองพันปีแล้ว โดยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ท่านได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระยาเม็งรายมหาราชเพื่อรวบรวมดินแดนล้านนาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเมื่อท่านสวรรคตก็กลับไปจุติเป็นพญายักษ์ชื่อท้าวรณกาจ พนาสูรย์ต่อไปตามเดิม
ที่มาชื่อวัดพุทธประทับ
เมื่อถึงเวลาหกโมงคณะก็เดินทางไปดูที่ดินแปลงนั้นตามนัดหมาย เมื่อไปถึงยอดเขาก็พบว่าที่ดินมีลักษณะใกล้เคียงกับที่ได้เห็นจริง คือเป็นพื้นที่ค่อนข้างราบบนเขาแต่มีเนินตรงกลางเล็กน้อยมีขนาดประมาณ 15 ไร่ บนที่ดินนี้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเลย นอกจากต้นสักขนาดใหญ่อายุประมาณ 20 ปี จำนวน 4 ต้นเท่านั้น ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องหมายแทนธูป ที่เทวดาใช้บูชาพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ที่ท่านเคยเสด็จมาประทับยังสถานที่แห่งนี้ในอดีตนั่นเอง รอบสถานที่แห่งนี้ ซึ่งแลดูแล้วคล้ายสวรรค์เพราะเป็นที่ดินค่อนข้างราบเรียบอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นยอดเขาอื่นๆ โดยรอบ มีเมฆหมอกสวยงามมาก ต่อมาท่านอาจารย์สมโชคได้บอกว่าเราต้องทำพิธีตั้งป้ายชื่อวัดพี่เจริญภพได้เสนอให้ตั้งชื่อวัดพระพุทธเจ้าห้าองค์ หรือวัดนะโมพุทธายะ แต่พี่จักรเสนอว่าให้ตั้งชื่อ ”วัดพุทธประทับ” ซึ่งเป็นชื่อที่เหมาะสมดีมาก เพราะสื่อถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน และเทวดาบนสวรรค์ท่านก็แสดงความยินดีกับชื่อนี้ด้วย ในคณะจึงตัดสินใจตั้งชื่อวัดพุทธประทับเป็นชื่อวัดที่จะสร้าง ณ สถานที่แห่งนี้
เมื่อตั้งชื่อวัดได้แล้วอาจารย์สมโชคก็ให้เลือกสถานที่ตั้งป้ายชื่อวัดจึงหาไม้และหินมากำหนดตำแหน่งตั้งป้ายชื่อวัด พอเริ่มขุดหลุมกำหนดตำแหน่งตั้งป้ายชื่อวัดซึ่งถือเป็นการวางฤกษ์สร้างวัดแล้ว พี่เจริญภพก็ได้เห็นภาพเหล่าเทวดาและนางฟ้าบนสวรรค์แสดงความยินดีและสาธุกันทั่ว พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงมโหรีและปี่พาทย์โบราณดังขึ้นมาจากทางเนินม่อนป่าซาง จึงสงสัยและแปลกใจว่าทำไมเสียงนี้ไม่ได้มาจากบนสวรรค์ แต่มาจากทางภูเขาลูกย่อมๆข้างหน้า ในขณะนั้นยังไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อสำรวจดูที่ดินที่จะสร้างวัดพุทธประทับเสร็จแล้วระหว่างที่กำลังนั่งรถลงจากเขาปรากฏว่าจิตของพี่เจริญภพก็รู้ขึ้นมาว่าเสียงปี่พาทย์มโหรีเมื่อสักครู่นี้มาจากการบรรเลงของชาวเมืองลับแลที่อยู่ในภูเขาลูกย่อมๆของม่อนป่าซาง มีเจ้าเมืองผู้ปกครองชื่อเจ้าปู่พญาแล ท่านมีอายุมากกว่าห้าพันปีแล้วและท่านเคยอัญเชิญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิทธัตถะให้เสด็จมาประทับที่นี่เมื่อในอดีต สำหรับลูกไฟขนาดเท่าลูกบอลที่ชาวบ้านแถวนั้นเคยเห็นเป็นประจำในช่วงวันพระนั้นก็เกิดจากชาวเมืองลับแลที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากได้พากันนุ่งขาวห่มขาวและถือศีลปฏิบัติธรรมกันทั้งเมืองในทุกวันพระ พร้อมกับจุดโคมประทีปบูชาพระพุทธเจ้าจึงได้เห็นเป็นลูกไฟต่างๆคล้ายๆกับบั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นที่บริเวณแม่น้ำโขงในช่วงออกพรรษา นอกจากนี้ทางชาวเมืองลับแลก็บอกว่าเมื่อมีพระธุดงค์ขึ้นไปปฏิบัติธรรมบนภูเขานี้ ก็จะมีชาวเมืองลับแลเนรมิตกายเป็นคนออกมาใส่บาตรเป็นบางครั้งด้วย
มัดจำที่ดินแปลงแรกของวัด
หลังจากนั้นคณะซึ่งมีท่านอาจารย์สมโชคเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ก็ได้ลงจากเขามาที่บ้านคุณติ่งเจ้าของที่ดินแปลงนี้ ที่ตั้งอยู่เชิงเขา เพื่อจะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ตามที่ได้ตกลงวางมัดจำกันไว้ล่วงหน้า 5,000 บาท เมื่อทำสัญญาเสร็จก็ต้องนำไปให้กำนันผู้ใหญ่บ้านได้รับรู้และร่วมเป็นสักขีพยานด้วย “กำนันโชค”ได้บอกว่าการขายที่ดินในลักษณะนี้อาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างพ่อและลูกซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่บอกขายนั้น จึงขอให้คณะฯไปขอความเห็นชอบในการซื้อขายที่ดินจากบิดาคุณติ่งเสียก่อน เมื่อไปพบบิดาคุณติ่งและแจ้งความประสงค์ว่าต้องการซื้อที่ดินบนเขาบริเวณม่อนป่าซางนั้น ในครั้งแรกที่ทราบเรื่องนี้บิดาคุณติ่งได้ปฏิเสธทันทีว่าไม่ขาย และต่อว่าลูกชายที่ได้ขายสมบัติไปหลายชิ้นแล้ว และเป็นห่วงว่าต่อไปภายหน้าจะไม่มีสมบัติอะไรเหลือให้แก่หลานๆ อีก จึงได้พูดชี้แจงว่าที่ได้มาขอซื้อที่ดินแปลงนี้ ก็เพื่อจะนำไปสร้างวัดปฏิบัติธรรมเท่านั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่น พี่เจริญภพจึงได้เล่าเหตุการณ์ในนิมิตตั้งแต่คืนวันที่ 6 ที่ฝนตกหนักให้ฟัง เมื่อบิดาคุณติ่งได้ฟังท่านก็เปลี่ยนใจ บอกว่าขายที่ดินแปลงนี้ได้แต่ท่านขอกันเงินส่วนหนึ่งจำนวนห้าหมื่นบาทเพื่อเก็บไว้ให้หลานด้วย ซึ่งทางคุณติ่งก็ตอบตกลงกับคุณพ่อของท่านทันที จากนั้นคณะทั้งห้าคนคือ พี่จักร อาจารย์สมโชค หมอเชิด หมอโต และพี่เจริญภพ ก็ได้กลับไปหาท่านกำนันโชคอีกครั้งพร้อมกับคุณติ่งและบิดา เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและวางมัดจำเงินจำนวน 5,000 บาทสำหรับที่ดิน 15 ไร่นี้ ส่วนเงินที่เหลือจะนำมาชำระภายหลัง
อานิสงส์แห่งการสร้างวิหารทาน
การเดินทางในครั้งนี้นับว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในการเดินทางของพี่เจริญภพสักข้อ แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยายผลสู่คนจำนวนมากให้ได้เข้าร่วมทำบุญเพื่อสร้างวัด สร้างวิหารทานในพระพุทธศาสนาต่างๆตามมา วิหารทานคือการร่วมทำบุญร่วมสร้างเสนาสนะต่างๆไว้ในบวรพระพุทธศาสนา เช่น โบสถ์ เจดีย์ หอฉันท์ กุฏิ เป็นต้น เปรียบเสมือนเราเป็นเหตุให้สร้างวัดสำเร็จ อานิสงค์การสร้างโบสถ์ สร้างพระนั้นมากมายและเราจะมีส่วนแห่งบุญนั้นทั้งหมด องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่าการถวายวิหารทานมีอานิสงส์มาก โดยมีพุทธดำรัสตรัสเอาไว้ว่า
'แม้ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ยังมีอานิสงส์ไม่เท่าถวายสังฆทานครั้งเดียว'
'แม้การถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง ยังมีอานิสงส์ไม่เท่าการถวาย 'วิหารทาน' ครั้งเดียว'
ที่ดินในการการสร้างวัดพุทธประทับนี้ ถือว่าเป็นที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก คือความประสงค์ของเทพเจ้าที่ท่านต้องการให้สร้างวัดนี้ขึ้นบนผืนดินที่เป็นยอดเขาที่พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งสี่พระองค์ได้เคยเสด็จมาประทับที่นี่มาก่อน และในอนาคตพระพุทธเจ้าอีกหนึ่งพระองค์ ท่านก็จะได้เสด็จมาประทับที่นี่อีก การให้สร้างวัดขึ้นก็ด้วยทวยเทพเทวาท่านประสงค์จะได้ทำบุญสร้างกุศลของท่านให้ยิ่งใหญ่ขึ้น โดยใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือในการทำงาน และท่านได้บอกว่าสำหรับมนุษย์ผู้มีปัญญาและสัมมาทิฐิแล้ว ปราสาทและวิมานก็พึงหวังเอาได้ในการทำบุญเช่นนี้ สถานที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่เป็นเหตุปัจจัย แห่งการสร้างสาธุชน เป็นเหตุให้บังเกิดพระอริยะบุคคล อันมีพระโสดาบันเป็นต้น ตลอดจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุดแล้วนั้น ผู้ที่มีส่วนร่วมในการซื้อที่ดิน สร้างวิหารทานถวายในบวรพุทธศาสนาก็จักได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย จะเป็นบุญหนุนนำทำให้ผู้นั้นเจริญด้วยทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป จึงจักได้ขอกล่าวอานิสงส์ส่วนหนึ่งดังนี้
- จักได้เกิดในถิ่นที่เป็นปฎิรูปเทส เหมาะแก่การทำความดี สร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป
- ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีตกต่ำ
- มีความรื่นรมย์ทั้งในโลกมนุษย์และเทวโลก
- ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นบุญกุศล ย่อมสำเร็จได้โดยง่ายเป็นอัศจรรย์
- ได้รูปกายที่สวยงาม เพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ
- ได้เป็นเทวดาที่มีศักดิ์ยิ่งใหญ่ มีทิพยสมบัติที่รุ่งเรือง ตลอดจนมีทิพยวิมานอันใหญ่โต และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
- มีความสง่างามเป็นที่เคารพนับถือศัรทธาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
- มีพร้อมด้วยสุข 3 ประการ เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยง่ายและมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งโดยไม่เนิ่นช้า
- จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือผู้บริหารประเทศ เกิดในภายภาคหน้าจะมีที่ดินเป็นของตนเอง และเป็นที่ดินที่มีทำเลดีเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย จะไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยาก
- ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแผ่นดินนั้นก็จะเจริญงอกงาม เหมาะแก่การประกอบสัมมาชีพตามปรารถนา เป็นทำเลดีค้าขายก้าวหน้า ปลูกพืชให้ดอกให้ผลงอกงามกว่าที่ใดๆ
- เป็นกุศลหนุนนำทำให้เกิดการบรรเทากรรม ให้กับผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเช่าเขา ถูกเขาโกงที่ หรือเกิดมาชาตินี้ต้องมาอยู่ที่แออัดคับแคบ แย่งกันอยู่ แย่งกันใช้
ซื้อที่ดินแปลงแรกสำเร็จ
หลังจากที่วางเงินมันจำไปแล้วก็ต้องเร่งระดมทุนเพื่อหาเงินทีเหลือไปโอนค่าที่ให้เรียบร้อย จึงมีการจัดประชุมที่กรุงเทพฯ เชิญพี่กอบแก้ว อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เป็นประธาน พี่จักร หมอเชิด หมอโต คุณประดิษฐเดช ร่วมประชุมเพื่อแสดงจุดประสงค์ของการสร้างวัดนี้และขอความร่วมมือร่วมใจก่อตั้งวัดนี้จนสำเร็จ หลังจากนั้นก็เปิดบัญชีธนาคารเพื่อเก็บเงินบริจาค
ประมาณเดือนตุลาคม 2553 พี่จักรได้ป่วยมากกำลังใจถดถอยไม่สามารถเดินทางได้ทันที ต้องรักษาให้ดีขึ้นเสียก่อน พี่จักรได้ไปนวดกับอาจารย์คมสัน ทองเอก ที่สังฆทานขณะนวดนั้นก็ได้เล่าเรื่องราวของวัดพุทธประทับ เมื่ออาจารย์ทองเอกได้ฟังก็มีอาการเหมือนเข้าทรง เทวดาได้ถามคำถามผ่านร่างทรงว่า วัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขาใช่ไหม? วัดนี้มีปู่ฤาษีถึง 108 องค์บำเพ็ญเพียรอยู่ วัดนี้จึงมีความศักสิทธิ์มากเทียบเท่าเขาคิชกุฏ และเทวดาได้ถามขึ้นว่า “ตกลงจะสร้างวัดจริงหรือไม่” ซึ่งพี่จักรก็มีกำลังใจกลับมายืนยันว่าจะสร้างจริง เทวดาจึงให้เตรียมดอกไม้สีขาว ผลไม้ ขนมมังสวิรัติจำพวก งาต้ม มันต้ม เผือกต้ม ไปทำพิธีบวงสรวงให้เรียบร้อย เมื่อพี่จักรรักษาตัวจนอาการดีขึ้นมากก็เริ่มวางแผนเดินทางไปชำระเงินที่เหลือต่อทันที โดยมีพี่เจริญภพ หมอเชิด ร่วมเดินทางไปกับพี่จักรด้วย การเดินทางไปอำเภอวังเหนือ ลำปางครั้งนี้ได้เลือกเส้นทางผ่านจังหวัดแพร่ ขณะผ่านได้เกิดรุ้งกินน้ำขนาดใหญ่มากข้ามเขาหลายลูก เห็นตลอดการเดินทางประมาณ 45 นาทีเป็นที่น่าอัศจรรย์ เสมือนเทวดาให้การต้อนรับและยินดีกับผลบุญที่ยิ่งใหญ่นี้
เมื่อถึงลำปางประมาณ 5 โมงเย็นก็ได้นัดกำนันโชคร่วมรับประทานอาหารและแจ้งการมาในครั้งนี้ว่าจะชำระเงินซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัด กำนันโชคยินดีเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากคิดเกรงว่าทางคณะจากกรุงเทพฯจะนำที่ดินไปสร้างรีสอร์ท เมื่อทราบความจริงก็ยินดีร่วมมือสร้างวัดด้วย นับเป็นเรื่องดีที่มีข้าราชการสำคัญและเป็นคนในพื้นที่ช่วยดูแลการดำเนินงานต่างๆจึงง่ายขึ้น และกำนันยังช่วยจัดของเพื่อพิธีบวงสรวงจะขาดก็แต่ดอกไม้สีขาวที่ไม่ได้เตรียมมาและอาจหาได้ยากในวันรุ่งขึ้น แต่กลับเป็นเรื่องแปลกเมื่อเช้ารุ่งขึ้นก็มีรถมาจากเชียงใหม่จะนำดอกไม้ไปส่ง ในรถนั้นมีดอกไม้สีขาวมาด้วย มาจอดพักที่โรงแรมพอดีจึงได้ของครบตามที่เทวดาบอก พิธีบวงสรวงจัดขึ้นประมาณ 11 โมงเช้า หลังจากเสร็จพิธีต่างๆจึงได้ชำระเงินและโอนกรรมสิทธิ์จนเรียบร้อย มีความสุขกันถ้วนหน้าที่ภารกิจสำเร็จลงด้วยดีแล้วจึงเดินทางกลับกรุงเทพ